Don’t Do! 5 สิ่งที่ไม่ควรทำ ถ้าไม่อยากให้เว็บไซต์ตกอันดับใน SEO
การทำ SEO (Search Engine Optimization) นั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน เพราะมีหลายปัจจัยในการจัดอันดับของ Google ไม่ว่าเว็บไซต์จะติดอันดับไหนในหน้าผลการค้นหา ก็มีโอกาสที่จะโดนคู่แข่งแซงขึ้นมาได้เหมือนกัน โดยปกติแล้วอันดับอาจจะมีการขยับขึ้นลงบ้างเล็กน้อยประมาณ 1-3 อันดับในการค้นหาแต่ละครั้ง ซึ่งบางครั้งก็หาไม่เจอเลยแต่พอเวลาผ่านไปสักพักสักวันหรือสองวัน อันดับก็กลับมาอยู่เหมือนเดิม หรือในตำแหน่งที่ใกล้ๆ ของเดิม นี่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติอยู่
แต่ถ้าหากพบว่าอันดับค่อยๆ ไหลลงไปทุกวันหรือทุกสัปดาห์ที่เช็ค เช่น จากหน้า 1 ลงไปหน้า 2, หน้า 3 หน้า 5 ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน อย่างนี้ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติแน่นอน มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากถูก Google ลงโทษ และที่ร้ายแรงสุด คือ การที่จู่ๆ อันดับก็หายไปและไม่กลับมาอีกเลยแม้ว่าจะรอมาเป็นเดือนแล้ว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ก็เรียกกันง่ายๆ ว่า “โดนแบน (Banned)“ แน่นอนว่าการที่จะโดน Google แบนได้นั้นก็มาจากการที่เราทำ SEO ไม่ถูกวิธีนั่นเอง
การลงโทษด้วยการแบนจาก Google นั้นสามารถแบ่งได้ 2 ระดับ คือ
- ระดับ URL คือ การแบนหน้าเว็บไซต์เป็น URL โดยหน้าเว็บไซต์อื่นๆ ใน Domain เดียวกันนั้นก็ยังอยู่ใน Index หรือฐานข้อมูลของ Google อยู่
- ระดับ Domain คือ การแบนทุกหน้าเว็บไซต์ใน Domain นั้นๆ เมื่อเช็ค Index ใน Google ก็ไม่พบหน้าเว็บไซต์อยู่เลย
(*หมายเหตุ : สามารถตรวจสอบ Index ได้โดยการพิมพ์ site:ตามด้วย Domain ของเว็บไซต์ ในกล่องค้นหาของ Google)
ในบทความนี้ เราจะขอยก 5 หัวข้อที่ “ไม่ควรทำ” หากไม่อยากให้เว็บไซต์ตกอันดับในการทำ SEO ซึ่งรวมถึงไม่ให้ Google ลงโทษด้วยการแบนอีกด้วย
5 สิ่งที่ไม่ควรทำสำหรับ SEO
✖️ ปล่อยเว็บให้ร้าง ไม่มีการอัพเดท
ผู้ที่ค้นหาข้อมูลย่อมต้องการข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นปัจจุบัน สำหรับ Google เองก็ชอบเนื้อหาที่มีความสดใหม่ และเว็บไซต์ที่มีการอัพเดทอย่างสม่ำเสมอ หากเว็บไซต์ไม่มีการปรับปรุงใดๆ เป็นเวลานาน หรือมีแต่เนื้อหาเก่าๆ เดิมๆ เหมือนทุกครั้งที่เข้ามาเก็บข้อมูล ก็มีโอกาสที่ Google จะจัดเว็บไซต์ที่อัพเดทกว่ามาขึ้นมาแทน
⇒ แนวทางแก้ไข : ควรเพิ่มเติมเนื้อหาในเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอโดยการเขียนบทความ เขียนบล็อก เป็นต้น หากพบว่าหน้าเว็บไซต์ที่ทำ SEO นั้นมีอันดับตกลงไป ก็ควรอัพเดทเพิ่มเติมเนื้อเข้าไป
✖️ ปล่อยให้เว็บไซต์โดนแฮ็ก (Hacked)
การแฮ็กเว็บไซต์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการปิดล็อคเว็บไซต์ไม่ให้ใช้งาน หรือ แอบแก้ไขข้อมูล เช่น นำเนื้อหาอื่นมาใส่ไว้ ทำ Backlinks ออกไปยังเว็บไซต์อื่น ฝัง Malware พวกไวรัสในเว็บไซต์ เป็นต้น เมื่อ Google พบปัญหานี้ก็จะแสดงข้อความ “ไซต์นี้อาจถูกแฮ็ก” ไว้ใต้เว็บไซต์นั้นบนหน้าผลการค้นหา เพื่อแจ้งเตือนคนที่จะคลิกเข้ามา รวมทั้งอันดับของเว็บไซต์ก็อาจจะตกลงมาได้
⇒ แนวทางแก้ไข : หากพบว่าเว็บไซต์ของเรามีข้อความ “ไซต์นี้อาจถูกแฮ็ก” บนหน้า Google ให้ใช้ Google Search Console ในการตรวจสอบความปลอดภัยในเว็บไซต์ (Security Issues) และแก้ไขให้เว็บไซต์ให้เรียบร้อย จากนั้นให้ส่งคำขอกับทาง Google เพื่อให้ตรวจสอบเว็บไซต์อีกครั้งและนำข้อความที่ถูกแฮ็กนี้ออก
✖️ ใส่รูปภาพหรือ script ต่างๆ มากเกินไปจนทำให้เว็บโหลดช้า
Google ได้ใช้ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (PageSpeed) เป็นหนึ่งใน “อัลกอริทึม (Algorithm)” นอกจากนั้นเว็บไซต์ที่โหลดช้าก็ส่งผลเสียต่อการเข้ามาเก็บข้อมูลของ Google และยังส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การใช้งานของเว็บไซต์ ผู้ใช้ที่เข้ามาแล้วอาจจะไม่รอและออกไปทันที ซึ่งก็ให้เกิดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) ซึ่งล้วนส่งผลต่อการจัดอันดับของ Google
⇒ แนวทางแก้ไข : ตรวจสอบ PageSpeed ของหน้าเว็บไซต์และคำแนะนำในการปรับปรุงได้โดยเครื่องมือ Google PageSpeed Insights
✖️ โพสข้อมูลซ้ำๆ ในเว็บอื่นที่ไม่มีคุณภาพ
หลายคนมักใช้เว็บประกาศขายสินค้า (Classified) เป็นช่องทางในการโปรโมทสินค้าหรือบริการ แต่บางครั้งเว็บไซต์ที่โพสไปนั้นเป็นเว็บที่เป็น Link Network ที่มี IP ของเว็บไซต์เหมือนกัน และเนื้อหาที่นำไปโพสก็เป็นข้อความเดียวกันหมด กลายเป็นว่าเราทำ Spam Backlinks เสียเอง เมื่อโพสไปมากๆ เข้า อันดับของเว็บไซต์บน Google ก็ค่อยๆ ลดลงๆ แทนที่จะดีขึ้นๆ อย่างที่คาดหวังไว้
⇒ แนวทางแก้ไข : ควรตรวจสอบ IP ของเว็บไซต์ที่ต้องการโพสก่อน หากพบว่าเป็น IP เดียวกัน หรือมีความคล้ายคลึงกันก็ควรจะหลีกเลี่ยง และเวลาโพสควรมีข้อความหลายๆ แบบ อย่าใช้ข้อความเดียวกันทั้งหมด หากได้โพสไปแล้วและพบว่าอันดับของเว็บไซต์แย่ลง ควรไปลบโพสเหล่านั้นออก
✖️ คัดลอกเนื้อหาหรือเอารูปภาพจากเว็บไซต์อื่นมาใช้
บทความที่คัดลอกมาจากแหล่งอื่น Google โดยไม่มีการเรียบเรียงใหม่ถือว่าเป็นเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ และมีโอกาสที่จะถูกแบนได้หากเจ้าของบทความมาพบเข้าและส่งเรื่องกับทาง Google ในหัวข้อ Copyright Removal เพื่อลบหน้า URL ที่ละเมิดลิขสิทธิ์นั้นออกจาก Index และถ้าหากเป็นรูปภาพ Google จะแบนทั้งรูปภาพนั้น รวมทั้ง URL ของหน้าเว็บไซต์ที่มีภาพนั้นอยู่ด้วย ซึ่งจะทำให้อันดับของหน้าเว็บนั้นหายไปจาก Google ทันที
⇒ แนวทางแก้ไข : หากต้องการนำบทความหรือรูปภาพจากเว็บอื่นมาใช้ ควรขออนุญาตเจ้าของบทความก่อน หรืออาจจะทำ Backlink อ้างอิงให้กับ URL ต้นฉบับ หรืออาจจะนำบทความมาเรียบเรียงใหม่ให้เป็นคำพูดของตัวเอง หรืออาจหาข้อมูลมาเขียนประกอบเพิ่ม สำหรับรูปภาพอาจใช้รูปจากเว็บไซต์ฟรีที่ไม่ติดลิขสิทธิ์ เช่น Pixabay หรือซื้อจากเว็บไซต์ที่ขายรูปอย่างถูกต้อง เช่น Shutterstock